on the waterfront (1954)
ระหว่างเลือกทำสิ่งที่สมควรทำ แต่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้เพื่อน
กับการยอมก้มหน้า ปิดหูปิดตาไม่รู้ไม่เห็นสิ่งแย่ๆ แต่มีเพื่อนฝูงล้อมรอบ
ลึกๆแล้วไม่กล้าตอบตัวเองเหมือนกันว่าจะเลือกอย่างไหน
แต่กับ เทอรี่ มัลลอย แล้ว
เจ้าตัวเลือกอย่างแรก ถึงแม้ว่าการกระทำนั้นจะทำให้โดนหมายหัวจาก
ตัวเป้งผู้เสียผลประโยชน์ แถมเพื่อนฝูงเมินเฉยทำเหมือนกับไม่มีตัวตนอยู่
ในโลก เสียสละเพื่ออยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นโทษที่หนักหนามากกับการ
ที่เรายังต้องอยู่ในสังคมต่อไปอย่างนี้ และสงสัยในสำนึกตัวเองและคนรอบข้าง
ว่าตกลงสิ่งที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำใช่มั้ย?
แต่ถ้าเราลองได้ตัดสินใจเลือกที่จะทำในสิ่งที่เราเชื่อแล้วว่ามันสมควรที่สุด
ก็ไม่ควรอีกเหมือนกันที่จะมานั่งเสียเวลา เฝ้านึกถึงสิ่งที่เสียไปแล้ว
สคริปต์ช่วงท้ายเรื่องจึงเป็นบทพูดที่ประทับใจผมมาก
เทอรี่: ถ้าแกไม่มีลูกน้องแกก็ไร้ค่ารู้รึเปล่า
ถ้าไม่มีไอ้ลูกสมุนพวกนั้นของแก ไม่มีปืน ไม่มีอาวุธ
แกก็ไม่มีอะไร ความกล้าของแกอยู่ที่เงินกับปืนเท่านั้นรู้มั้ย
เฟรนด์ลี่: แกหักหลังเราเทอรี่
เทอรี่: จากตรงที่แกยืนอยู่น่ะสิ ตอนนี้ฉันยืนอยู่ตรงนี้
ที่ผ่านมาฉันหักหลังตัวเองโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
แกเล่นงานโจอี้ แกเล่นงานคูแกน
แกเล่นงานแม้แต่ชาร์ลีลูกน้องแกเอง
นึกว่าตัวเองเป็นพระเจ้า รู้มั้ยแกเป็นแค่อะไร
แกเป็นแค่นักเลงห่วยๆ สกปรก
ฉันดีใจที่ทำแบบนี้กับแก
ได้ยินมั้ย ฉันดีใจที่ได้ทำลงไป
I'm glad what I done to you,
ya hear that?
I'm glad what I done!
วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
เรือนแพ
"แหวนวงนี้..ประกายเพชรมันสะอาดแล้ว
พี่ล้างมันด้วยเลือดของพี่เอง
พี่เป็นคนมีกรรม รับไว้สิเพ็ญ
รับมันไว้สิ.."
เสือแก้ว
อยากให้มีคนเอาเรื่องนี้มารีเมคจังครับ
ได้แผ่นนี้มาจากคลองถม ในราคา 50 บาท
(สังหรณ์ใจว่าจริงๆอาจจะถูกกว่านี้ 5 5)
จัดว่าคุ้มค่ามาก สนุก ชวนติดตาม
มีดาราฮ่องกงมาเล่นอีกต่างหาก
แม้ว่าบางฉากจะกระชับมากไปหน่อย
บางฉากก็ให้คนดูไปเติมเอาเองในหัว ฮ่า ฮ่า
แต่ก็ถือว่าครบเครื่องจริงๆ
การหักมุม พล๊อตพลิกผัน อะไรนี่ทำเอาคนดู
อินตามไปกันเลย ยิ่งเข้าใกล้ช่วงไคลแม็กซ์นี่
อื้อหืม เอาเป็นว่าสนุกกว่าหนังไทยยุคนี้ก็แล้วกัน 55
แต่ถ้ารีเมคนี่ก็คงแคสคนแสดงยากเหมือนกัน
จะหาใครเข้มๆได้อย่าง ไชยา สุริยัน ในกระแสเกาหลีปัจจุบันนี้
มาดนิ่งๆ อย่าง ส.อาสนจินดา
ขี้เล่น อย่าง จินฟง
และ มาเรีย จาง กับบท เพ็ญ ศูนย์กลางของเรื่อง
ในบทหลายอารมณ์ และไม่ใส ซื่อ
แต่ก็กลัวอีกเหมือนกันครับ กลัวทำออกมาแล้ว
คนพูดว่า "ดูของเดิมยังดีซะกว่าอีก" 555
เรา...ผู้เป็นเจ้าของเวลาTime of our life.
ถึงตอนนี้ ไม่ว่าความคิดเห็นใดจะมีขึ้นมาก็ตาม
เราก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่า
เราบางคนได้มีประสบการณ์ที่มีความหมายร่วมกัน
ณ ห้วงเวลาหนึ่ง
รวมเอาคนที่มีความชอบเหมือนกันไว้ด้วยกัน
ให้เรารู้ว่าไม่มีวันโดดเดี่ยว
และต่อจากนี้
ไม่ว่าจะนับเป็นเดือน หรือปี
สิ่งที่เราพูดได้เต็มปากเหมือนกัน คือ
"เราไปมาแล้ว และเราไปด้วยกัน"
GREENDAY live in BANGKOK
12-01-10
๑๒-๐๑-๑๐
สถานที่: Impact Arena
สถานที่: Impact Arena
ขุนแผน โคโยตี้
----ขุนแผนโคโยตี้ เวอร์ชั่น เนื้อผง-----บอกอารมณ์ไม่ถูก ขำ คลายเครียดเศร้าใจ สิ้นหวัง วังเวง ฯลฯหรือ การมาถึงของวัตถุสิ่งนี้เพื่อปฎิเสธทุกนิยามของคำว่าวัตถุมงคลเป็นการท้าทายระบบ ท้าทายความเชื่อกระตุ้นกระบวนการคิด การตรวจสอบแต่สำหรับคนไม่อะไรมากมายอย่างผมจัดเป็นข่าวชวนหวัวให้พอฮาๆ ระหว่างการห้ำหั่นทางสังคมที่มีเหตุผลมากมายรองรับการกระทำของตัวเอง ส่วนขุนแผนโคโยตี้ราวกับไม่ได้มาเพื่ออธิบายเหตุผลแต่รับใช้อารมณ์ล้วนๆมาประกอบสร้างขึ้น 555
Clash of the titans
มีสคริปต์ตอนหนึ่งในหนังที่ผมแอบขำกับการเข้าใจเล่นของคนทำในฉากที่ 4นางแม่มดบอกคำทำนายแก่พระเอกว่า เจ้าต้องตายแน่แท้แต่คนในทีมหาได้ใส่ใจกับคำพูดจนนางต้องควักเอาคำพูดอันศักดิ์สิทธิ์คำหนึ่งออกมาทำเอาเหล่าลูกทีมสั่นคลอนกันไปหมด "รีบไปเถอะ อย่าไปเชื่อนาง""แต่มันคือความจริง จารึกไว้แล้วในประวัติศาสตร์"555555 (แล้วเป็นไง สุดท้ายแล้ว)ดูแล้วให้นึกเตือนตัวเองว่าแค่เพราะมีคนอ้างว่ามันมีเขียนไว้ในประวัติศาสตร์มันอาจไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมดเราต้องหยุดคิดก่อนว่าสมควรเชื่อดีมั้ยมีจุดประสงค์อะไรกันแน่แล้วมันคือประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นโดยใคร
แมวผี
"ช่อบดูหนั่งกลางแปลง ช่อบหม่าตั๊งแต้เดกช่อบดูหนั่งไทย ใกล้ไกลม่ายว้าผ่อจะไป่ดูได้ไป่ดู่หมดแหละหนั่งจีน หนั่งฝรั่ง หนั่งแข้กอะไรพวกนั้นก๊อดูได้แต้ไม่สนุกเท้าดู่หนั่งไทยยี้เกก๊อชอบ วงดนตรี้ลูกทุ้งก๊อชอบอย้าให้รู้เข้าเชียวหว้าหมี่หนั่งกลางแปลงที่ไหน่หมี่ยี้เกที้ไหน่ หมี่วงดนตรี้ที้ไหน่ถ้าหากพอจะเดิ่นไป่ดู่ได้อ้ายทิดโขดต๊องเดิ่นไป่ดู่แหละเดิ่นตั้งส่ามสี่ชั่วโมงก๊อเอาเดิ่นตั๊งยี่สิบส่ามสิบกิโลก๊อเอา..."
ทิดโขด จากหนังสือ "แมวผี"
แดนอรัญ แสงทอง,
สำนักพิมพ์หนึ่ง,๒๕๕๓ หน้า ๑๑
อ้ายทิดโขดนี่เรียกว่าคนรักหนังได้เลยนะนี่
อ่านไปก็ขำไปคนเขียนเขาบอกกับคนอ่านว่า"..ข่อความกรุ่ณาอ้านให้เปนส่ำเนียงเหน้อๆแบ้บสู้พรรณๆ ซักน่อยนึงเถิ้ดจ้า ...แล้วก๊อ... ดูเพิ่มเติมอย่าอ้านในใจ อ้านในใจแล้วคือว่ามันจะตะกึ้กตะกั่กอยู้ซักกะน่อย"
5555 จริงอย่างที่เขาว่าเลยนะครับมันต้องอ้านอ่อกเสียง แล้วภายใต้หน้าหนัง(สือ)ที่เป็นเรื่องผีๆ ข้างในกลับบรรจุเอาความฮาของชาวบ้านกับหนังไทยยุตเก่า... ดูเพิ่มเติมเอาไว้ด้วย ขำดีครับ
เดอะ เวนดิโก้ ---อสูรไพรทมิฬ--
เหมาะอย่างยิ่งกับคนชอบเรื่องลึกลับสยองขวัญ เขย่าประสาทที่ความน่ากลัว ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าเกาะกุมความนึกคิดของคนอ่านด้วยจังหวะหลอนลึก มาแบบนิ่งๆแต่อยู่นาน จนเมื่อมันผ่านไปแล้วก็ยังไม่วายทิ้งกลิ่นและร่องรอยความขลาดกลัวระคนสงสัยในเหตุการณ์อันเหนือกว่าความเข้าใจและคุ้นชินภายใต้ความกดดัน และพลังอำนาจแห่งป่าดงดิบปล่อยคนอ่านไว้กับตัวละครในเรื่องที่ทั้งหวาดกลัวแต่ก็อยากรู้อยากเห็นในสิ่งลึกลับแปลกประหลาดนั้นเหมือนเรากลัวอย่างล้ำลึกใจเราสั่งให้หลับตาอย่ามองมันแต่ตากลับเบิกอ้าอยากมองลึกเข้าไปในความขนลุกอันยากแก่การห้ามใจนั้นเราเห็นในสิ่งที่ไม่ได้บอกไว้ด้วยซ้ำในหนังสือและอาจถึงขนาดต้องหยุดกึกเมื่อเหตุการณ์มาถึงช่วงระทึกหยุดเพื่อเตรียมใจก่อนอ่านต่ออย่างลุ้นเหลือกำลังจนบางครั้งถึงขั้นต้องหัวเราะออกมาเพื่อกลบเกลื่อนความกลัวและหลอนลึกของตัวเองคนอ่านอย่างผมเป็นได้ถึงขนาดนั้นเลยคิดดู
the wendigo--อสูรไพรทมิฬ--
โดย Algernon Blackwood
แดนอรัญ แสงทอง แปล
สำนักพิมพ์ โอเพ่น บุ๊กส์ ,๒๕๕๓
Beaufort
ชอบหนังเรื่องนี้มากครับ เลี้ยงระดับความนิ่งมาจนถึงฉากจบแล้ว อิ่มใจมากมันได้ความรู้สึกปลอดโปร่ง โล่งหัวใจ ปลดปล่อยภาระหนักๆออกหมดเหมือนภารกิจจบแล้วจริงๆ แล้วโชคดีมาก คือ รอดตายมาจากสงครามได้มันทำให้รู้คุณค่าของการยังได้มีชีวิตอยู่ ในขณะที่อีกหลายคนในนั้นไม่มีโอกาสแบบนี้แล้วหลายคนในนั้นคือ เพื่อน ด้วยมันเศร้ามาก
ปกติถ้าหนังแนวนิ่งๆ ช้าช้า ผมจะดูแค่รอบเดียวแต่กับเรื่องนี้สามรอบเข้าไปแล้วมีแนวโน้มว่าถ้าได้ดีวีดีมาเก็บ ว่างๆก็คงดูอีกเรื่อยๆ สำหรับผมเรื่องนี้ไม่น่าเบื่อเลยครับอาจเป็นเพราะรู้สึกมีอารมณ์ร่วม เข้าใจความรู้สึกทหารที่ไหนก็เหมือนๆกันมั้ง รายละเอียดหนึ่งในหนังที่ชอบมากคือ มันพูดถึงช่วงเวลา ช่วงเสี้ยวเวลาเล็กๆ ที่มีความหมาย มีความเป็นความตายมาเกี่ยวข้อง สะเทือนใจมากครับ ฉากหนึ่งในนั้นเป็นวันที่ทหารผลัดพี่จะครบกำหนดประจำการ ก็พาทหารผลัดน้องไปเที่ยวในป้อมปราการที่ยึดไว้อยู่ เป็นเหมือนบอกลา ทหารคนหนึ่งพูดว่า จากนี้ถ้านายกลับถึงบ้าน นายอยู่ข้างหน้าแฟนที่น่ารักของนาย ก่อนที่นายจะกอดเธอ เราขอเวลาหนึ่งนาฑีนะคิดถึงพวกเราที่นี่ แค่หนึ่งนาฑี--อั๊ก--จุกอกมากครับ
เพราะตอนผมเป็นทหาร ไม่มีโอกาสไปภาคสนาม อยู่แต่ในกองพันเพื่อนที่ฝึกด้วยกันมา บางคนก็ไปอยู่ชายแดน ขึ้นดอย หรือลงใต้ไปสามจังหวัด ซึ่งเราไม่แน่ใจหรอกครับว่าปัญหาจริงๆเป็นอย่างไร เมื่อมีคำสั่ง เขาจัดกำลังมีรายชื่อไปก็ต้องไป แล้วไปแล้วถ้าตายก็คือตายรอดก็คือรอด เพื่อนๆผลัดเดียวกับผมคงรู้สึกอย่างนั้น ในขณะที่ผมปลดมาแล้ว บางคนก็ยังคงประจำการอยู่ ผมไม่เคยนึกถึงพวกมันเลยจนดูหนังเรื่องนี้ หนึ่งนาฑีที่หนังพูดถึง มีความหมายขึ้นมาทันที
เงาสีขาว
"เมื่อไม่กี่วันก่อนกูเห็นข่าวตัววิ่งช่องสิบเอ็ดผ่านไปแว่บๆอ่านได้ใจความว่ามีเด็กไทยในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งมีชื่อเล่นเป็นภาษาฝรั่งหมดทุกคนเลย คือมีชื่อเล่นว่าอ้ายเบิร์ด อ้ายไมค์ อีนิโคล อีฮันนี่ อีกีตาร์ อีแพนเค้กอีเบียร์ อีไวน์ อ้ายดิ๊กอะไรประมาณนี้แหละ และทุกคนเลยแม้จะอยู่ ป.6 แล้ว ก็เขียน ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูกได้ไม่ครบนี่แสดงว่าอ้ายโรคดัดจริตอยากเป็นฝรั่งนั้น มิได้เป็นกันแต่พวกผู้ดีมีเงินเท่านั้น แม้แต่พวกประชาชนในระดับรากหญ้าแม่งก็พลอยเป็นไปด้วย นี่กูแวบๆหรอกนะแต่ไม่ถึงกับกูจะฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับเอามากระเดียดข่าวสารห่าๆ ชิ้นนี้แม่งแรง แม่งเป็นสัญญาณอันตรายว่าสยามไม่อาจอยู่ยั้งยืนยง ทุเรศว่ะ กระทรวงวัฒนธรรมของเรานั้น เอาไปทำเวจขี้เสียเถิด"
บางส่วนจากจดหมายถึงนักอ่านฯ
หนังสือ เงาสีขาว
โดย แดนอรัญ แสงทอง
สำนักพิมพ์สามัญชน,
พิมพ์ครั้งที่ ๒,๒๕๕๐,หน้า ๔๓
แค่เกริ่นนำนะครับนั่นข้างในเล่มนี่ต้องค่อยๆอ่าน ค่อยๆละเมียด ยังอ่านไม่จบ
นักคิด ของ นักคิด
"...บางครั้งเป็นเรื่องยากมาก เราไม่เข้าใจเขา เขาก็ไม่เข้าใจเราแล้วไม่ใช่ว่าคุยมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้นด้วยนะคะ คือยิ่งคุยยิ่งเข้าใจมันก็มี แต่ยิ่งคุยยิ่งไม่เข้าใจกันไปใหญ่มันก็มีพอๆกันนั่นแหละทำให้คิดว่า ถ้อยคำที่สื่อสารของแต่ละคน มันมีนัยของความหมายไม่เหมือนกันบางทีเราพูดไปเอง เรายังไม่แน่ใจเลยว่ามันใช่สิ่งที่เราต้องการสื่อหรือเปล่าคนแต่ละคน Sensitive กับคำพูดต่างกัน อารมณ์ความคิดความรู้สึกคนเรามันซับซ้อนและคลุมเคลือเกินกว่าภาษาจะถ่ายทอดได้"
บางส่วนจากหนังสือนักคิดของนักคิด
บทสัมภาษณ์ มุกหอม วงษ์เทศ,หน้า 140
สำนักพิมพ์ GM BOOKS
ผมชอบความเห็นนี้ของคุณมุกหอมครับ บางครั้ง ภาษา มันไม่อาจบรรจุความรู้สึกของเราได้ทั้งหมดจริงๆแถมบางที ภาษา กลับทำให้คนเข้าใจไปคนละทางอีกต่างหากยกตัวอย่างคำว่า "ประชาธิปไตย"เป็นต้น ผมยังไม่แน่ใจว่าความหมายจริงๆมันยังไงกันแน่จนถึงวันนี้... ดูเพิ่มเติมถ้าครูสปช.รู้นี่คงโดนยึดเกรดสี่คืนแน่ๆ 55
(500) Days of Summer
"ให้ตายเหอะว่ะ ทำไมผู้หญิงสวยๆถึงคิดว่าจะทำยังไงกับใครก็ได้แล้วทุกคนก็ให้อภัยนะ" ทอม แฮนเซ่น(500) Days of Summer
ที่ทอมไม่เข้าใจก็คงไม่แปลกนั่นล่ะครับ ถึงมีคนพูดว่า"ผู้ชายคนไหนบอกว่าตัวเองเข้าใจผู้หญิงทุกเรื่องแสดงว่ามันไม่เข้าใจอะไรเลย" 555... ดูเพิ่มเติมทอมแม่ง-งง- และในบางครั้ง-สติแตกและสงสัย มันเริ่มที่ตอนไหนวะมันต้องมีสัญญาณบอกดิวะแต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่รู้ซัมเมอร์ บรรจุความดึงดูดใจ มีชีวิตชีวาโดดเด่น และน่าหลงไหลไว้ในความเป็นผู้หญิงที่ทอมไม่อาจเป็นเจ้าของและความเป็นซัมเมอร์นั้น รวมไปถึงการเป็นคนที่ชัดเจนในคำพูดและทำในสิ่งที่เธออยากทำด้วยและก่อนการมาถึงของวันที่ 500 หนึ่งวันทอมก็ถึงเวลาต้องรับให้ได้เสียทีว่าเหตุผลที่--ไม่อาจไปด้วยกันต่อได้--คืออะไรและเมื่อมันเป็นคำพูดจากปากของซัมเมอร์เองทอมปฏิเสธอีกไม่ได้แล้วว่ามันคือ ความจริงแต่ถึงแม้จะเตรียมใจมาแค่ไหนเจอเหตุผลนี้เข้าไปก็ถึงกับ--ต้องเบือนหน้าหนี--เพราะประโยคที่ซัมเมอร์พูดนั้นเป็นประโยคที่คนแพ้เท่านั้นถึงจะเข้าใจดูฉากนี้แล้ว--อั๊กกกก--
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)